Health Literacy and Health Promotion Behaviors for Hypertension Risk Groups in Elderly, Thungkrachor Subdistrict, Bantak District, Tak Province

Abstract

The purpose of this research was to study the levels of health literacy and health promotion behaviors, as well as the relationship between health literacy and health promotion behaviors among the elderly groups at risk of hypertension in Thungkrachor Sub-district, Bantak District, Tak Province. The population was 1,071 elderly people aged 60 and over who were at risk of hypertension. The study sample, selected by the simple random sampling technique, consisted of 284 participants. The research instrument was a questionnaire. The statistical devices employed for data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation, and Pearson correlation coefficient.

The results revealed that the majority of elderly people at risk of hypertension were male (50.7 percent) and female (49.3 percent), were 68 years old on average, had a primary education (86.9 percent), were married (55.3 percent), and earned between 5,001 and 10,000 baht (23.2 percent). They were given the highest level of health literacy as well as health promotion behaviors. Health literacy in health decision making, health self-management, access to health information and services, health communication, and media and health information awareness were moderately correlated with health promotion behaviors at the statistically significant level.

Public health professionals in Thungkrachor Sub-district should then organize an integrated learning process to increase the level of health literacy and appropriate health promotion behaviors in elderly people at risk of hypertension for future well-being.

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพและระดับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ตำบลทุ่งกระเชาะ อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก ประชากร คือ ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 1,071 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 284 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน

ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 50.7 เพศหญิง ร้อยละ 49.3 อายุเฉลี่ย 68 ปี ระดับการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 86.9 สถานภาพสมรส ร้อยละ 55.3 รายได้อยู่ระหว่าง 5,001–10,000 บาท ร้อยละ 23.2 ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงมีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพในระดับดีมาก ความรอบรู้ด้านสุขภาพในด้านการตัดสินใจด้านสุขภาพ การจัดการตนเองด้านสุขภาพ การเข้าถึงข้อมูลและบริการด้านสุขภาพ การสื่อสารด้านสุขภาพ การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลางกับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ดังนั้น บุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ตำบลทุ่งกระเชาะควรจะจัดกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการเพื่อพัฒนายกระดับให้ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงให้มีความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ดี และมีพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อการมีสุขภาวะที่ดีต่อไป